ทำความเข้าใจพื้นฐานการทำ SEO ก่อนเริ่มเรียน SEO ด้วยตนเอง

บทความที่จะอธิบายช่วยให้คุณเข้าใจพื้นฐานในโลกของ SEO ปูพื้นฐานการทำ SEO และสำหรับผู้ที่สนใจเรียน SEO หรือผู้ที่อยากเรียนรู้ด้วยตนเอง

พื้นฐานการทำ SEO

จุดประสงค์ของ SEO คืออะไร

ในโลกออนไลน์ใครๆ ก็อยากเป็นที่รู้จัก ไม่ว่าเราจะทำอาชีพใด ผู้ประกอบการ นักธุรกิจ กราฟิกดีไซน์ฟรีแลนซ์ หรือแม้แต่ช่างไฟฟ้า เชื่อว่าทุกคนอยากให้ลูกค้ารู้จัก มีชื่อเสียง เพื่อจุดประสงค์ทางการค้า วิธีการที่นิยมในปัจจุบัน คือ ทำการตลาดออนไลน์ หรือ “การสร้างเว็บไซต์” แต่ว่าการมีเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว คนทั่วไปก็ยังไม่รู้จักเรา ยังขาดผู้เข้าชมที่จะมาเป็นลูกค้าอยู่ดี

บทความนี้ผมจะพาให้มารู้จักกับ SEO สำหรับคนที่ไม่เคยทำความเข้าใจ หรือไม่รู้จักแม้แต่คำว่า SEO ก็ไม่เคยได้ยิน..จะได้เข้าใจได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ในทุกหัวข้อทุกประเด็นและจุดประสงค์ของการทำ SEO จริงๆ ครับ

SEO หรือ Search Engine Optimization คืออะไร

SEO มาจาก Search engine + Optimize นั่นก็หมายความว่าเป็นการปรับแต่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (optimize) ของเว็บไซต์ให้ดีต่อการค้นหาของระบบค้นหา (search engine) เช่น Google, Yahoo, Bing, Facebook, Youtube, Tiktok (ทุกแพลตฟอร์มมักมีระบบค้นหา หรือ Search engine ของตัวเอง)

Search engine optimization จึงเป็นการทำให้เว็บไซต์ ที่อยากให้ติดอันดับหน้าแรก Google โดยมุ่งเน้นทำเนื้อหาให้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการค้นหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเนื้อหา (Content) คำค้นหา หรือคีย์เวิร์ด (Keyword) และบริบทของคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง (Related keyword) และปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ให้ตอบปัญหาของผู้ใช้งานได้ตรงมากที่สุด

โดยเกณฑ์การจัดอันดับของ Search engine (ในที่นี้หมายถึง Google search engine) จะคิดจากคุณภาพของเนื้อหาและประสิทธิภาพของเว็บไซต์นั่นเอง เช่น มีเนื้อหาดี ภาพสวย ใช้งานง่าย มีประโยชน์ ฯลฯ ดังนั้น วิธีทำ SEO ให้ได้ผลลัพท์ดีที่สุดจึงต้องครอบคลุมด้วยปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO ด้วยหลายองค์ประกอบ เช่น

  • โครงสร้าง และความปลอดภัยของเว็บไซต์ (Site structure & Security)
  • ประสิทธิภาพเรื่องความเร็ว (Pagespeed)
  • ประสิทธิภาพการแสดงผลบนมือถือ (Mobile first & Responsive design)
  • คุณภาพของโดเมน (Domain authority)
  • คุณภาพของบทความหรือเนื้อหา (Quality content)
  • ประสบการณ์ในการเข้าใช้งานของผู้ใช้ (User experience)

SEO มีบทบาทสำคัญอย่างไรบ้าง

ความสำคัญแท้จริงของการทำ SEO ก็คือการที่ทำให้เว็บไซต์และเนื้อหาที่เราต้องการในจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ติดอันดับขึ้นไปแสดงผลอยู่ในหน้าแรก (หรืออันดับ 1) เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ใช้งานเห็นเว็บไซต์และเนื้อหาเรามากที่สุด โดยอ้างอิงจากข้อมูลการใช้ search engine ในปัจจุบันดังนี้

88.36 Billion

คือจำนวนผู้คนที่เข้าใช้งาน Search engine ทั่วโลก (Google.com) รวมทั้งมือถือ แทปเล็ต และคอมพิวเตอร์

(google search statistics)

50 million

สถิติผู้ใช้งานในประเทศไทย โดยใช้งาน Google.com เป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ Tiktok.com และ Facebook.com

(ที่มา : cloudflare.com)

70%

ของผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ยอมรับว่าการทำ SEO มีผลลัพธ์ที่ดีกว่าการซื้อโฆษณา PPC หรือเรียกว่า Conversion rate สูงกว่า ปิดการขายง่ายกว่านั้นเอง

(ที่มา : serpwatch.io)

จากข้อมูลสถิติล่าสุดทำให้เราทราบได้ว่าคนไทยและคนทั่วโลกนั้นใช้ Search engine เป็นจำนวนมาก นับว่าทรงอิทธิพลต่อชีวิตของคนไทยและผู้ใช้งานทั่วโลก จึงเป็นที่มาและเหตุผลว่าทำไมทุกธุรกิจ ทุกร้าน ภัตตาคาร โรงแรมหรือฟรีแลนซ์อาชีพต่างๆ จะต้องทำเพื่อให้ตอบโจทย์ให้ได้มากที่สุด

ทำ seo ติดหน้าแรกคนดูเยอะกว่า 3173 เปอร์เซ็น
คนทั่วโลกกว่า 317 สนใจอันดับ 1 ก่อนเสมอ

จากข้อมูลอัตราการคลิก (CTR%) บน Google search จะเห็นว่าเนื้อหาหรือเว็บไซต์ใดก็ตามที่ติดอันดับ 1 จะทำให้ยอดการคลิกเพื่อเข้าชมสูงถึง 31.7% คิดเป็น 95% ของผู้ใช้งานจะคลิกเฉพาะการค้นหาหน้าแรก ส่วนคนที่ไปค้นหาหน้าถัดไป เหลือเพียง 0.78% หมายความว่า อันดับของเว็บไซต์ (Ranking) มีความสำคัญต่อการเข้าชมเนื้อหาเป็นอย่างมาก

Search Marketing หรือ SEO ให้ผลลัพท์ทางการตลาดจริงไหม

เป็นเรื่องน่าสนใจครับว่า SEO กับธุรกิจมันไปกันได้จริงหรือไม่ และการทำตลาดบนหน้า Search engine นั้น ให้ผลลัพท์ทางการตลาดได้จริงหรือเปล่า ซึ่งความจริงแล้วการทำ SEO มันคือ subset หรือส่วนหนึ่งของ SEM (Search engine marketing) อธิบายให้เห็นภาพดังนี้

  • SEM คือ รูปแบบการทำการตลาดบนหน้าเครื่องมือการค้นหา (Search engine marketing) โดยไม่จำกัดวิธีการทำและมักจะใช้ให้ความหมายของการซื้อโฆษณาบนหน้า Search ads ด้วยการจ่ายเงินหรือเราเรียกว่า Paid search / Paid per click (PPC)
  • SEO คือ รูปแบบการทำการตลาดบนหน้าเครื่องมือค้นหาเช่นกัน แต่เป็นการทำและจัดอันดับด้วยการปรับแต่งประสิทธิภาพของเว็บไซต์ (SEO optimization) ทำให้ได้ผู้เยี่ยมชมเข้ามาดูเนื้อหาบนเว็บไซต์โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณา (Organic Traffic)

SEM หรือ SEO ดีกว่ากัน

SEM เป็นการทำการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพและวัดผลได้อย่างรวดเร็ว (เพราะจ่ายเงิน) ซึ่งแบ่งได้เป็นทั้งจุดเด่นและจุดด้อย

  • จุดเด่น SEM คือ ใช้เวลาน้อย สามารถทำให้เว็บไซต์ติดอันดับในหน้าแรกได้บนเครื่องมือค้นหาได้อย่างชัดเจน สามารถกำหนดการแสดงผลได้ขึ้นอยู่กับเงินที่จ่ายไป
  • จุดด้อย SEM คือ ค่าใช้จ่ายที่สูงและการแข่งขันในคำค้นหรือคีย์เวิร์ดบางคำที่มีราคาแพง จึงต้องเสียเงินจำนวนมากในการติดหน้าแรก

SEO เป็นการตลาดแบบที่ทำให้เว็บไซต์เจอได้บนเครื่องมือค้นหาโดยการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพดี ตอบโจทย์การค้นหาของผู้ใช้งานซึ่งมีจุดเด่นและจุดด้อยเช่นกัน

  • จุดเด่น SEO คือ การสร้างผู้ใช้งานแบบไม่เสียเงิน (Organic Traffic) นั้นสร้างผลลัพท์ให้ธุรกิจได้น่าพึงพอใจ เพราะผู้ใช้งานจำนวนมากเชื่อว่า เว็บไซต์ที่ไม่ได้ลงโฆษณาแต่อยู่อันดับ 1 มีความน่าเชื่อถือ มีความสามารถและเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริงๆ
  • จุดด้อย SEO คือ ความยากในการทำ (ยากกว่าจ่ายเงินซื้อ) ต้องใช้ความสามารถสูงและระยะเวลาที่นานกว่าการซื้อโฆษณา เพื่อไต่อันดับขึ้นสู่หน้าแรก

ประโยชน์จริงๆ ของ SEO คือ

จากที่กล่าวมาข้างต้นคุณคงจะเริ่มเห็นประโยชน์ของการทำ SEO บ้างแล้วนะครับว่าจำเป็นต่อการทำเว็บไซต์ และธุรกิจอย่างไรบ้าง ผมสรุปให้เป็นข้อๆ ได้ดังนี้

  1. ช่วยให้ธุรกิจและเว็บไซต์เป็นที่รู้จักสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ทั้ง Product และ Service
  2. ช่วยเพิ่มผู้ใช้งานเข้าชมเว็บไซต์แบบไม่เสียเงิน (Organic Traffic) ได้ต่อเนื่อง
  3. ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าและกลุ่มเป้าหมาย เพราะว่าเนื้อหาหรือสินค้าบริการที่ต้องการมาจากการค้นหาจริง
  4. เพิ่มผลลัพท์ทางการค้า ทั้งยอดขาย ยอดลงทะเบียน ยอดการติดตามสำหรับการทำการตลาดออนไลน์ได้ดี
  5. ช่วยลดต้นทุนทางการตลาด การซื้อโฆษณาออนไลน์ ในระยะยาวจะพบว่าใช้เงินทุนต่ำมากกว่าการทำตลาดแบบอื่น
  6. สร้างความน่าเชื่อถือ (Authority) ให้กับเว็บไซต์ แบรนด์และสินค้า
  7. ดูมีความเชี่ยวชาญในหมวดหมู่อุตสากรรมหรือธุรกิจนั้นๆ ทำให้เจาะกลุ่มเป้าหมายได้ดี (Specialist)
  8. ทำให้มีกำไรต่อต้นทุนสูงมากขึ้นจากการเติบโตของแบรนด์ที่มั่นคง (Business growth)

[helpful]

รู้จักวิธีทำ SEO เบื้องต้น (On-page SEO)

การทำ SEO มีหลายปัจจัยด้วยกันทั้ง On-page, Off-page แต่ส่วนนี้เราจะให้ทำความเข้าใจพื้นฐาน On-page SEO บนหน้าเว็บไซต์ตัวเองก่อน โดยเราเช็กปัจจัยการทำ On-page ได้ง่ายๆ ดังนี้

  1. Head title – ชื่อหัวเรื่องไว้กำหนดชื่อของหน้าเว็บเพจที่เราต้องการตั้งชื่อ
  2. Description – แท็กสำหรับกำหนดคำอธิบายของเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์
  3. Header – แท็กบนเว็บไซต์สำหรับลำดับความสำคัญของเรื่องราวในหน้าเว็บไซต์ เหมือนเวลาที่เราอ่านหนังสือจะมี หัวเรื่องหลัก หัวเรื่องรอง และหัวเรื่องย่อยตามลำดับ ก็จะมี H1, H2, H3, H4, H5, H6 ตามลำดับ เพื่อให้ Google เข้าใจลำดับความสำคัญของเนื้อหา
  4. Paragraph – ส่วนของเนื้อหา (Content) หรือบทความที่เราเรื่องราว ที่จะเขียนลงไป
  5. Internal link – ส่วนของลิงก์ภายในเว็บไซต์ ใช้เพื่อเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาหน้าอื่นๆ บนเว็บไซต์ให้ Google bot เข้าใจ
  6. External link – ส่วนของลิงก์ภายนอกเว็บไซต์ ใช้เพื่อเชื่อมโยงไปยังหน้าอื่นๆ นอกเว็บไซต์ของเรา บางครั้งใช้เพื่ออ้างอิงข้อมูล งานวิจัย ข้อเท็จจริง ประวัติ ที่มาของข้อมูล เป็นต้น
  7. Backlink – ลิงก์ย้อนกลับ อาจเป็นลิงก์ที่มีคนเขียนถึงเราจากเนื้อหาบนเว็บไซต์อื่น หรือผู้สนับสนุนจากนอกเว็บไซต์ หรือ เนื้อหาบนเว็บไซต์หน้าอื่นมายังหน้าที่เข้าต้องการส่งมา อ่านเรื่อง backlink คืออะไร
  8. Alt text – สำหรับตังชื่อรูปภาพ โลโก้ ไอคอนต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์ เพื่อให้ Google เข้าใจความหมายของหน้าเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น

วิธีทำบทความ SEO ให้ประสบความสำเร็จ ติดหน้าแรก

1. คิดหัวข้อและวิเคราะห์ว่า เขียนคอนเทนต์ SEO ให้ใครอ่าน

หลายคนเข้าใจผิดว่าการเขียนบทความ SEO ต้องเลือกคีย์เวิร์ดที่ต้องการ นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่ไม่ 100% เพราะหัวใจสำคัญของการเขียนบทความ SEO คือเราต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมาย ลูกค้าหรือสินค้าที่เราจะเขียนว่าเราจะขายให้ใคร เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย (customer avatar) ศึกษาจากคู่แข่ง

2. วิเคราะห์คีย์เวิร์ด SEO ให้คำค้นตรงกับเนื้อหา และจุดประสงค์ (Search Intent)

คีย์เวิร์ดคือส่วนสำคัญที่ทำให้ SEO ติดอันดับได้ง่ายขึ้น เพราะคีย์เวิร์ดเหล่านี้มาจากบทความที่เราเขียน และพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่ค้นหาคำนั้นๆ คำค้นหาที่มีการค้นหาจำนวนมาก ก็อาจจะได้รับทราฟฟิคเป็นจำนวนมาก หมายความว่าโอกาสคนที่จะมาเป็นลูกค้าก็มากขึ้นด้วย เราอาจหาโดยใช้เครื่องมือฟรีอย่าง google keyword planner ก็ได้

3. เขียนเนื้อหาให้มีความละเอียดและตรงประเด็น

การเขียนบทความที่ยาวไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้เราติดอันดับหน้าแรก แต่การเขียนสั้นเกินไปอาจทำให้เราเขียนเนื้อหาเจาะลึก บอกเล่าเรื่องราวรายละเอียดไม่หมด ผู้เชี่ยวชาญหลายสำนักได้วิเคราะห์ไว้ว่าการเขียนบทความที่ดีและมีคนเข้าชมเยอะจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 – 3,000 คำ และถ้าอยากติดหน้าแรกอาจเลือกใช้คีย์เวิร์ดหรือประโยคที่มีความยาวสักหน่อย (long-tail keyword)

4. เขียนให้มีประโยชน์ แก้ปัญหาให้ผู้อ่าน

บทความที่ดีนอกจากเขียนดี ต้องคำนึงถึงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ (User experience) เพราะเมื่อเนื้อหาดีแล้วตอบโจทย์ มีประโยชน์แก่ผู้ใช้งานจริงๆ ผู้ใช้งานจะกลับมาอีกหรือนำไปบอกต่อ ส่งต่อให้เพื่อนๆ และระยะเวลาของผู้ใช้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลถึงอันดับในหน้าเว็บเพจนั้นๆ อีกด้วย

เราอาจเพิ่มสิ่งที่น่าสนใจลงไปในหน้าเว็บเพจ เพื่อดึงให้ผู้ใช้งานอยู่เป็นเวลานานได้ เช่น วีดีโอ อินโฟกราฟิก เกมส์สนุกๆ คำถามน่าสนใจ เป็นต้น

5. ใส่คีย์เวิร์ดลงใน Heading Tag (H1)

สำคัญมากๆ เพื่อให้ google รับรู้เข้าใจว่าเรากำลังจะบอกเรื่องเกี่ยวกับอะไร ต้องการทำ SEO ให้ติดอันดับในคีย์เวิร์ดไหน เช่น บทความ “วิธีทำข้าวไข่เจียว” ก็ต้องมีคำว่า “ไข่เจียว” เป็นคีย์เวิร์ดหลัก หากต้องการให้คนค้นหาคำว่า “ไข่เจียว” แล้วเจอบทความหรือวีดีโอของเรา

และยังต้องใส่คำอธิบาย (Meta description) เพื่อเป็นการย้ำให้ Google เข้าใจว่าบทความเราเกี่ยวข้องกับอะไรกันแน่ รวมถึงการแทรกเนื้อหา ลิงก์บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็ช่วยให้ Google bot รู้จักเรามากขึ้นได้อีก

6. หาวิธีเพิ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์

แม้ว่าเราจะเขียนบทความบนเว็บไซต์เรา เพื่อให้ผู้ใช้งานค้นหาและเจอบน Search engine แต่การพึ่งพาช่องทางเดียวอาจทำให้บทความเราไต่อันดับได้ช้า หรือมีผู้ใช้งานจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อการวัดผลและไต่อันดับสู่หน้าแรก เราอาจใช้ Social media ในการเพิ่มทราฟฟิคให้กับเว็บไซต์เรา เช่น Facebook, Twitter, Thumblr, Pinterest, Tiktok, Etc.

7. วิเคราะห์วัดผลการทำ SEO เพื่อปรับปรุงเนื้อหา

เมื่อเราสร้างสรรค์บทความไปได้สักระยะ (อาจจะ 3-6 เดือน) ขั้นตอนสุดท้ายคือการวัดผลลัพท์ที่เกิดขึ้นว่าบทความ หรือเนื้อหาบนเว็บไซต์ ที่เราสร้างนั้นมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ฟรี เช่น Google analytic, Google search console เพื่อเช็กอันดับคีย์เวิร์ด ยอดคลิก และยอดเข้าชมเว็บไซต์

  • หน้าเว็บเพจใดของเรามีคนเข้าชมมากแค่ไหน จำนวนผู้ใช้งานมากเท่าไร
  • ผู้ใช้งานใช้ระยะเวลาในการอ่านบทความเรานานแค่ไหน มีส่วนร่วมเท่าไร
  • เข้ามาอ่านแล้วไปกระทำอย่างอื่นต่อหรือไม่ สมัคร ลงทะเบียนและซื้อสินค้าหรือเปล่า
  • เช็กอันดับ ตรวจสอบคีย์เวิร์ดในบทความของเราในแต่ละหน้าเว็บเพจ (Google search console)

[helpful]

สรุป : หากเราต้องการติดอันดับหน้าแรกบน Google Search ปัจจัยสำคัญคือการทำ SEO ที่ใช้กับเครื่องมือค้นหา (Search engine) ให้สมบูรณ์ในทุกด้าน จะเป็นตัวช่วยดึงผู้ใช้งานเข้าสู่เว็บไซต์ของเราเพิ่มได้อีกทาง นอกเหนือจากการทำการตลาดด้านอื่นครับ

พี่หมีฮาร์ดเซลล์

ฉะนั้นการทำ SEO ให้ติดอันดับดีๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายจะต้องใช้ความตั้งใจและพยายามอย่างมาก แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับผู้เริ่มต้นและอยากจริงจังกับมัน สำหรับใครที่พอจะเข้าใจบ้างแล้วผมมี 30 คำศัพท์ วงการ SEO ลองอ่านดูนะ

สนใจ คอร์สเรียน SEO อ่านเพิ่มเติมที่นี่

คอร์สสอน SEO โตธุรกิจ
สอบถาม